วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

สารสมุนไพรใช้กำจัดเซลล์มะเร็ง

  1. สารจากเห็ดหลินจือ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกและเซลล์มะเร็งให้หายได้
  2. สารซัลโฟราแฟล จากผับบร็อคโคลีดิบๆ จะไปทำลายรหัสพันธุกรรมใน DNA ที่อยู่ตอนกลางของนิวเคลียสของมะเร็งให้หายไป
  3. สารไฟโตรเคอรอล ในเหงือกปลาหมอ จะไปทำลายเอนไซม์มะเร็งที่ชื่อว่า Hyalurodeness ที่คอยทำลายสารพวกไฮยาลีน ให้เสื่อมสภาพลงได้
  4. สารเคอซีตีน ในหนุมานปรสานกาย จะช่วยให้ย่อย สลายเอนไซม์อะมิโนเปปติเดสที่ใช้ย่อยสลายสารประกอบของโปรตีนในเซลล์มะเร็งให้หายได้ เอาน้ำมาดื่ม
  5. สารอะมายคาติน ในหัวกระเทียม จะไปทำลายเอนไซม์โปรตตเอสที่ใช้ย่อยสลายโปรตีนในร่างกายเพื่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งให้หายไป
  6. สารไฟโตนิวเตรียนส์ ในหัวบีตรูด จะดูดซับสารพิษในร่างกายและทำลายเซลล์มะเร็งในลำไส้ให้หมดไป ช่วยในการขับถ่ายให้ดีขึ้น เอาน้ำมาดื่ม
  7. สาร Beta-carotene, Carotenoid และ Flavonoid จะไปทำลายสารพิษตกค้างและสารอนุมูลอิสระในการทำลาย Oxidation ให้หมดไปจากร่างกาย
  8. สารจากเกสรดอกไม้ ประกอบด้วย Beta-Carotene,Lycocine,Flavqnoid และ Chlorophyll จะช่วยทำลาย Anti-oxidant ในอนุมูลอิสระให้หมดไป
  9. ยาน้ำสมุนไพรจีน สรรพคุณสูงจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งให้หายได้อย่างอัศจรรย์
  10. กระดูกปลาฉลาม มีสารไคตีน ช่วยกำจัดเซลล์เนื้อร้ายให้หายไปได้
  11. ไวน์ที่ทำจากองุ่นแดง มีสารเรสเวอราตอล ช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระให้หมดไป ทำให้การทำงานของหัวใจดีขึ้น และมะเร็งเต้านมหายได้ ทำให้เซลล์เนื้อร้ายมีขนาดเล็กลงและหายไปในที่สุด
  12. เปลือกสับปะรด แกนสับปะรด มีสารไฟโตรนิวเตรียนส์ ช่วยดูดซับสารพิษออกจากร่างกาย กำจัดเซลล์มะเร็งในลำไส้ใหญ่ให้หมดไป รับประทานทุกวันสลับกันไปเรื่อยๆ
  13. น้ำแอปเปิล มีสารต่อต้านเซลล์มะเร็งให้เล็กลงและหายไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งทรวงอกและมะเร็งเต้านม

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

สารก่อมะเร็ง


สารก่อมะเร็ง เรียกว่า คาร์ซิโนเจน ( Carcinogen ) คือ สารพิษปนเปื้อนในสิ่งต่างๆ ดังนี้


  1. สารพิษจากอากาศ ผงฝุ่น เชื้อโรค ไอพิษจากการจราจร และโลหะหนักเป็นต้น

  2. สารพิษจากอาหาร มีสารพิษปนเปื้อนมากับน้ำ จากการล้างจานไม่สะอาด มีสารพิษที่ปนมากับอาหาร ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี สารที่ทำให้เนื้อแดงน่ากินเป็นต้น

  3. สารพิษที่ติดมากับคน เช่น มีเชื้อโรคบางชนิดที่แพร่กระจายได้ด้วยน้ำลาย เช่น ไวรัสตับอักเสบบางชนิด การรับประทานอาหารร่วมกันโดยไม่มีช้อนกลาง การล้างจานชามไม่สะอาด

ตามปกติร่างกายสามารถกำจัดสารพิษบางอย่างได้ แต่หากมีการรับเข้าไปมากเกินก็จะเกิดการสะสม ไม่สามารถขจัดได้หมด เช่นพิษตะกั่ว


วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

วิตามิน E มีประโยชน์


คณะอุตสาหกรรมเกษตรเปิดเฝยว่าวิตามิน E เป็นวิตามินที่ละลายไขมันในร่างกายได้ แหล่งของวิตามิน E คือผักใบเขียว ตับ ไข่แดง น้ำมันพืชและไขมันในนม แหล่งพบมากที่สุดคือพวกถั่วและคัพภ์ของข้าวสาลี ( ข้าวที่ตั้งท้องยังออกรวง ) เป็นต้น


หน้าที่ของวิตามิน E


  1. เป็นสารป้องกันการเหม็นหึน

  2. ป้องกันการเกิด Oxidation ของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว

  3. ช่วยในการทำงานร่วมกับวิตามิน A

  4. เป็น Co-factor ร่วมของเอนไซม์ ที่มีบทบาทในกระบวนการสร้างพลังงานให้กับร่างกาย

ปัจจุบันข้อมูลผลงานทางการวิจัยรายงานว่าเมื่อมร่างกายได้รับสารวิตามิน E อย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันโรคได้หลายชนิดคือ หวัด วัณโรค หัวใจ ไขข้ออักเสบ มะเร็ง และโรคความจำเสื่อม เป็นต้น


การรับประทานวิตามิน E



  1. รับประทานเป็นอาหารเสริมวันละ 100-200 I.U. ( หน่วยสากล )

  2. รับประทานเป็นยารักษาโรควันละ 100-400 I.U.( หน่วยสากล ) จะรับประทานพร้อมกับอาหารมื้อกลางวันหรือเย็นก็ได้

วิตามิน E จะดูดซึมพร้อมกับอาหารพวกไขมัน ถ้ารับประทานมากเกินไปก็จะเกิดโทษคือ



  1. เกิดการเสียสมดุลของอาหารในร่างกาย

  2. ไม่ควรรับประทานก่อนการผ่าตัดเพราะจะทำให้เลือดออกมาก

  3. คนที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์และโรคหัวใจไม่ควรรับประทาน


วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ไวน์แดงมีฤทธิ์ต้านมะเร็งทรวงอก


นักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกาพบสรรพคุณของไวส์แดงว่าสามารถรักษามะเร็งของทรวงอกได้ และยังทำให้เนื้อร้ายมีขนาดเล็กลงได้ นอกจากนี้ยังพบว่าไวน์แดงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายเมื่อเกิดหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตกได้ เนื่องจากมีสารประกอบในการล้างสารเคมีที่เป็นพิษออกจากสมองให้หมดไปได้

สารไวน์แดงมีชื่อว่า เรสเวอราตรอล จะทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายให้หมดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองจะไม่เกิดความเสียหายทำให้เส้นสมองแตกหรืออุดตันแต่อย่างใด

สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งในระยะแรกๆ ให้ใช้สมุนไพรของหลวงพ่อ จรัญ แห่งวัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี ดังนี้

1. บอระเพ็ด 1 กิโลกรัม

2. เกลือเม็ด 1 กิโลกรัม

3.หัวไพลเหลือง 1 กิโลกรัม

นำเอาบอระเพ็ดมาตำให้แตกเป็นเส้นๆ แล้วใส่ไว้โหล ต่อจากนั้นก็นำหัวไพลเหลืองมาทุบให้แบนแล้นำมาไว้ในโหล ให้ใส่เกลือเม็ดลงไปในขวดโหลเดียวกัน แล้วปิดฝาให้เรียบร้อยประมาณ 15 วัน จะมีน้ำใสๆ เกิดขึ้น ให้นำมาดื่มในตอนเช้า 1 ครั้งและในตอนเย็น 1 ครั้งๆ ละ 30 มิลลิลิตร ดื่มจนกว่าจะหายจากโรคมะเร็ง

เมื่อหายดีแล้วให้ทำบุญใส่บาตรให้กับเจ้ากรรมนายเวรและทำบุญกับหลวงพ่อจรัญแห่งวัดอำพวันที่ได้บอกบุญสูตรยานี้มา

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฆ่ามะเร็งด้วยอาหารบริสุทธิ์จากธรรมชาติ


เมื่อคนเราคลายความเครียดและยวิตกังวลได้อย่างราบคาบแล้ว ก็จะรู้สึกเจริญอาหาร กินอาหารได้มาก ต้องพยายามปรับเปลี่ยนอาหารที่กินอยู่เดิมทิ้งไป แล้วหันไปกินอาหารบริสุทธิ์จากธรรมชาติตามแนวธรรมชาติบำบัด เพื่อล้างสารพิษต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายให้หมดไป และต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทำให้รู้สึกเคยชินว่า อาหารรสชาติจืดเป็นอาหารที่ใช้ฆ่ามะเร็งโดยเฉพาะ ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปต้องฆ่ามะเร็งด้วยอาหารธรรมชาติให้ได้

ข้อสำคัญ ต้องไม่นำสารพิษใหม่เข้ามาในร่างกายอีกและพยายามขับล้างสารพิษในร่างกายให้หมดไปโดยเร็ว เมื่อร่างกายไม่มีสารพิษตกค้างอีกแล้ว ก็ให้บำรุงร่างกายให้แข็งแรงด้วยอาหารบริสุทธิ์จากธรรมชาติ และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเม็ดเลือดขาว โดยรับประทานวิตามิน A เบต้าแคโรทีน C D E ซีลีเนียม แมกนีเซียม เหล็ก เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเซลล์เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพในการกำจัดเซลล์มะเร็งด้วย Psytotoxin และ Lymphocyte ได้อย่างดี เซลล์มะเร็งก็จะตายและหายไปในที่สุด

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อย่างไร


1. ในการที่จะสร้างภูมิต้านทานทางร่างกาย ให้ดีขึ้นนั้นให้ปฏิบัติดังนี้


  • ให้กินวิตามิน Antioxidant ทุกชนิด

  • ให้ดื่มน้ำผักสดคั้นเป็นประจำทุกวัน ตอนเช้า กลางวัน และตอนเย็น วันละ 3 แก้ว

  • ให้ดื่มน้ำข้าวบริสุทธิ์ ที่ทำมาจากเมล็ดข้าว 12 อย่าง ทุก 1 ชั่วโมง

  • ให้ออกกำลังกายทุกวัน วันละ 30 นาที

  • ให้บีบนวด กดจุด และผ่อนคลายความเครียดตามกล้ามเนื้อ

  • แช่น้ำอุ่น 30 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวและเส้นเลือดขยายตัว

2. สร้างภูมิต้านทานทางจิตใจ ดังนี้



  • ฝึกจิตให้เข้มแข็ง

  • ฝึกจิตให้เป็นสมาธิ

  • ใช้การเดินจงกรมเพื่อตรวจสอบจิต

  • ให้ถือศีลและปฏิบัติธรรม

  • ให้สวดมนต์ ภาวนาและตั้งจิตอธิษฐาน

  • ให้เป็นคนมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และสงสารผู้อื่น

3. สร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์ดังนี้



  • ทำอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส

  • หัวเราะให้กับตัวเอง สนุกสนาน ร่าเริง

  • ทำตัวตามสบาย ไม่เครียด ไม่ยึดถืออะไร

  • พยายามให้ความรักและเมตตาผู้อื่น

  • สั่งจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกให้ไม่กล้วและหวาดวิตก

  • ทำอารมณ์ให้นิ่ง ไม่หว้นไหว

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บริโภคเนื้อปลามีประโยชน์ยังไง


ปัจจุบันคนหันมาบริโภคเนื้อปลากันเยอะมากขึ้นเพราะว่า หาง่ายและราคาก็ไม่แพงนัก มีให้เลือกหลายชนิด

เนื้อปลาเป็นอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพดี ย่อยง่าย มีแร่ธาตุ และวิตามินหลายชนิด เช่นฟอสฟอรัส แคลเซียม ไอโอดีน วิตามิน A วิตามิน B และมีไขมันน้อยกว่าเนื้อสัตว์

ไขมันปลาเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ

1. กรดไขมันไอโคซา เพนตะอีโนอิก ( EPA )

2. กรดไขมันโดโตชา เฮกซาอิโจอิก ( DHA )

กรดไขมันควบคุมระดับของคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด

จากการวิจัยพบว่า DHA เป็นองค์ประกอบสำคัญของสมอง ถึงร้อยละ 65 พบในเนื้อเยื่อชั้นในสุดของตาปลา




วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แก้อาการท้องผูก


อาการท้องผูกสามารถแก้ไขได้ด้วยการรับประทานผักสดและผลไม้ให้มากขึ้น ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง ผลไม้ที่ช่วยขับถ่ายให้ขับถ่ายได้ดีคือ ส้ม กล้วย มะละกอ ส่วนผลไม้ที่นิยมใช้คือลูกพรุน นอกจากนี้ควรฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลาจะกระตุ้นให้การถ่ายอุจจาระเป็นไปได้อย่างดีขึ้น

ศูนย์โภชนาการของอังกฤษจากวารสารการแพทย์ของอังกฤษมีหลักฐานแน่ชัดว่าสาเหตุของการเกิดมะเร็งมาจากอาหารเป็นสำคัญ จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในรายงานขององค์การอนามัยโลก พ.ศ. 2540 จำนวน 6 ล้านคน ครึ่งหนึ่งเสียชีวิตด้วยโรคปอด อีกครึ่งหนึ่งเสียชีวิตด้วยมะเร็งทรวงอก ลำไส้ ต่อมลูกหมาก และมะเร็ง ปอดร้อยละ 80

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แสงแดดมีอันตรายยังไง


แสงแดดเป็นพิษทำให้เกิดมะเร็งได้ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดใน เวลา 08-17.00 น. ทุกวัน เวลาจะเดินทางไปไหนควรกางร่มเสมอและควรใส่เสื้อผ้าหนาๆ ป้องกันแดดได้ บริเวณหน้ามือ แขน และขา ก็ควรทาครีมป้องกันแดดด้วย จะช่วยลดอันตรายจากแสงแดดในขณะร้อนจ้าลงได้

ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากถั่วเหลือง เช่นนมถั่วเหลือง เต้าหู้ ช่วยให้มีปัญญาดี สดชื่น และเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศได้ ทั้งนี้เนื่องจากในอาหารดังกล่าวอุดมไปด้วยโปรตีน กรดอะมิโน พินิลาลานิน แลไทโรซีน กรดทั้งสองตัวนี้มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่ง เพราะร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง ต้องบริโภคจากอาหารเข้าไป

กรดอะมิโนทั้งสองชนิดจะถูกร่างกายนำไปสังเคราะห์เป็นสารเคมีเพื่อใช้กับการสื่อสารในสมองคือ นอร์เอฟเนฟริน และโดปามีน

นอร์เอฟเนฟริน เป็นสารช่วยกระตุ้นการปลดปล่อยไขมันในเส้นเลือด และช่วยควบคุมการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ และยังช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็เป็นสารกระตุ้นสมองให้รับการเรียนรู้และความจำ ทำให้คิดและเรียนรู้ได้รวดเร็ว

โดปามีน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น สมองรับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็ว และมีความอดทนต่อความเครียดได้สูง

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กินถั่ว กระถินริมรั้ว ทำให้แก่ช้าลง


กาย อี. อับบราฮัม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูติศาสตร์และระบไร้ท่อในมนุษย์กล่าวว่า การดื่มนมเพิ่มขึ้นเพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารแคลเซียมกลับทำให้แก่เร็วขึ้น เพราะการกินแคลเซียมมากๆ จะทำให้แคลเซียมไปยึดเกาะติดอยู่ตามเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณเส้นเลือดแดง กล้ามเนื้อ ไต อันเป็นเครื่องแสดงถึงความเสื่อมสภาพของอวัยวะและยังทำให้เกิดนิ่วในไตเพิ่มขึ้น เส้นเลือดแดงกระด้างหรือตีบตัน ร่างการต้องการแคลเซียมเพื่อไปยึดเกาะกระดูกไม่ใช่เนื้อเยื้ออ่อนๆ ซึ่งธาตุแมกนีเซียมจะช่วยปรับสมดุลของธาตุแคลเซียมให้เหมาะสมได้

ตามปกติร่างกายไม่ต้องการแคลเซียมทุกวันเพราะจะเกิดการสะสมในร่างกายทำให้เป็นพิษได้ แต่ต้องการธาตุแมกนีเซียมทุกวัน เพื่อทำให้สารธาตุต่างๆ เกิดความสมดุล เพราะร่างกายไม่ได้ เก็บธาตุแมกนีเซียมไว้ คนที่รับประทานแคลเซียมสูงแต่รับประทานแมกนีเซียมน้อย ก็จะทำให้เกิดโรคไขข้ออักเสบ โรคกระดูกพรุน เป็นตะคริวบ่อยๆ รวมทั้งในผู้หญิงจะมีรอบเดือนก่อนกำหนดอีกด้วย

อาหารที่มีธาตุแมกนีเซียมมากได้แก่

1. ผักใบเขียวเข้ม

2. เมล็ดธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่ว ข้าวซ้อมมือ ข้วฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ลูกเดือย อาหารทะละ

3. กระถิมีธาตุแมกนีเซียมช่วยปรับสมดุลระหว่างแคลเซียมได้ดี ในยอดกระถินยังมีสารโบรอนช่วยลดความเครียดได้ด้วย

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มะกรูด แก้เบาหวานได้หรือ


สมุนไพรแม้จะเป็นทางเลือกในการรักษาโรคต่างๆ ได้ แต่บางตัวยาต้องขึ้นอยู่กับธาตุของผู้ป่วยด้วย จะสังเกตได้ว่ายาอย่างเดียวกันบางคนกินหรือใช้แล้วดี แต่อีกคนกลับไม่ได้ผล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับธาตุของแต่ละคนนั่นเอง สมุนไพรที่เป็นยาเคี่ยวควรระวัง เพราะจะมีทั้งให้ผลดีและไม่ดี ต้องรู้จักใช้หรือกิน ไม่ควรกินหรือใช้แบบต่อเนื่องเป็นประจำ ซึ่ง มะกรูดกับสูตรแก้เบาหวาน เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้เป็นเบาหวานที่เป็นคนธาตุน้ำ คือเกิดระหว่างเดือน กรกฏาคม สิงหาคม และกันยายน จะได้ผลดี แม้จะเป็นตัวยาเคี่ยวก็ไม่มีผลข้างเคียงหรืออันตรายอะไร สามารถใช้กินหรือใช้ได้แบบต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาต่อสุขภาพ

โดยมีวิธีง่ายๆคือคั้นเอาเฉพาะน้ำจากผล มะกรูด จำนวน 3 ผล ดื่มตอนไหนก็ได้อาทิตย์ละครั้ง จำไว้ว่าดี่มวันไหนอาทิตย์ต่อไปก็ดื่มวันนั้น ทำดื่มเป็นประจำจะช่วยให้เบาหวานลดลงได้ สูตรนี้คนธาตุอื่นจะไม่ได้ผล

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นมถั่วเหลืองกับมะเร็ง


ผู้ป่วยควรดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำทุกวัน โดยนำเอาถั่วเหลืองมาแช่น้ำไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วเอาเข้าเครื่องปั่นให้ละเอียด ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำออกมา น้ำที่ใช้ไม่ควรเกิน 1 ลิตรต่อถั่วเหลืองขนาดครึ่งถุง

เมื่อได้นมถั่วเหลืองมาแล้วก็เอามาใส่หม้อสเตนเลส ต้มต่อไปด้วยการคนไปเรื่อยๆ อย่าให้นมถั่วเหลืองติดก้นหม้อ จะทำให้ไหม้ได้ เมื่อเห็นว่านมถั่วเหลืองสุกเข้มข้นดีแล้วเดือดดีแล้วยกลงปล่อยให้อุ่นๆ ก็นำมาดื่มได้ โดยดื่มวันละ 1 แก้ว ขนาด 100 ซีซี ก็พอ

หรือจะหาลูกเดือยมาต้มให้สุกแล้วใส่รวมไปกับนมถั่วเหลืองก็จะทำให้เพิ่มตัวยาการต่อต้านอนุมูลอิสระ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

หมายเหตุ ห้ามใส่น้ำตาลทรายขาวตามลงไปในน้ำนมถั่วเหลืองโดยเด็ดขาด เพราะเซลล์มะเร็งชอบน้ำตาลทรายขาวมากที่สุด เครื่องปั่นที่ใช้ควรใช้เครื่องปั่นที่แยกน้ำออกจากกากของถั่วเหลือง ทั้งนี้เพื่อป้องกัน

อิเล็คตรอนอันเกิดจากไฟฟ้าเข้ามาทำลายได้

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากการดื่มน้ำผักสด ผลไม้ ทุกวัน


การรับผักสด ผลไม้ทุกวัน โดยจะนำมากินสดๆ หรือคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม ก็จะได้เกลือแร่และเอนไซม์ที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยไม่ต้องกินเกลือ น้ำปลา ที่มีความเค็มให้โทษต่อร่างกาย ส่วนเกลือแร่จากผลไม้เป็นความเค็มความหวานโดยธรรมชาติ ไม่เกิดอันตราย แก่ร่างกายแต่อย่างใด แต่จะมีประโยชน์โดยตรงต่อการกระตุ้นต่อมต่างๆ ให้ผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อร่างกาย ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปอีกด้วย

ดื่มน้ำผักสด ผลไม้ทุกวัน ทำให้สดชื่นแข็งแรง ผิวพรรณ ผ่องใสและช่วยกำจัดโรคภัยไข้เจ็บให้หมดไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ออกกำลังกายมีผลดียังไง


คนเราควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้นและยังช่วยขจัดโรคภัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ช่วยให้นอนหลับสบาย

การออกกำลังกายควรทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที และควรเลิกสูบบุหรี่ สุรา ยาเสพย์ติดต่างๆ อีกด้วย

ขยะในร่างกาย

ขยะในร่างกายคือ ขยะที่เป็นกากอาหารที่ผ่านกระบวนการย่อยสลายมาแล้ว เป็นพวกที่ย่อยไม่หมดหรือย่อยไม่ได้ เป็นของเสียจากการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย รวมทั้งพวกเนื้อเยื่อหรือเซลล์ที่ตายแล้วและจุลินทรีย์ต่างๆ

ขยะที่ตกค้างเหล่านี้จะเกิดการหมักหมม และเป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้อวัยะต่างๆ ทำงานไม่เต็มที่หรือผิดปกติไป ทำให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายอ่อนแอและบกพร่อง ไม่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะมีการสะสมในเส้นเลือดเกิดมะเร็งในที่สุด

การแก้


1. อดอาหารเพื่อคายสารพิษให้ออกมา

2. หยุดการสร้างขยะในร่างกาย

3. กำจัดขยะที่ตกค้างให้ออกไปด้วยการสวนล้างลำไส้ใหญ่

4. ดื่มน้ำผักสดและน้ำผลไม้มากๆ

5. ออกกำลังกายให้เหงื่อออกมากๆ

6. แช่น้ำอุ่นนานๆ อย่างน้อย 30 นาที

7. เร่งสร้างภูมิต้านทานในร่างกายด้วยการกินอาหารที่บำรุงร่างกายและกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว

8. กำจัดอนุมูลอิสระด้วยการกินวิตามินเสริมพวก Antioxidant ได้แก่ วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน C

วิตามิน D วิตามิน E แมงกานีส แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม สังกะสี ทองแดง เหล็ก และแคลเซียม

เป็นต้น

การเสริมภูมิต้านทานในร่างกาย

อาหารเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ซึ่งอาหารดังกล่าวนี้ได้แก่

1. ข้าวกล้อง

2. ผักสด

3. ผลไม้สด

4. น้ำคั้นจากผักและผลไม้สดๆ ในปริมาณมากๆ ต่อวัน ส่วนการออกกำลังกายและการทำสมาธิถือเป็นวิธีการทางธรรมชาติที่ทำให้ร่ายสามารถสร้างภูมิต้านทานเพิ่มขึ้นได้


เมื่อร่างกายมีกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้น ก็ไม่ควรมีสภาพเสื่อมโทรมลง การมีอายุมากขึ้นโดยปราศจากการดูแลด้านโภชนาการจะทำให้ร่างกายมีแต่เสื่อมโทรมลง และการกินอาหารขยะ อาหารปนเปื้อนสารพิษ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพและเป็นการทำลายเซลล์ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมามากมาย ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อกลไกการสร้างเซลล์ และออกซิเจนที่ร่างกายนำไปใช้ในการทำปฏิกิริยา ดังนั้นเราจึงต้องได้รับอาหาที่มีคุณค่า เพื่อมบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงปราศจากอนุมูลอิสระ

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เครื่องดื่มน้ำสมุนไพรบำรุงสุขภาพ


น้ำบีตรูตมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเป็นสารต่อต้านเซลล์มะเร็งโดยจะทำหน้าที่ขับล้างสารพิษ จำพวกไขมันให้ออกไปจากร่างกาย ซึ่งไขมันที่เข้ามาสู่ร่างกายแล้วส่วนใหญ่จะเกาะอยู่ตามเส้นเลือดทั่วร่างกาย ที่สำคัญก็คือเส้นเลือดฝอยที่อยู่ในสมองของคนเรา ดังนั้นควรดื่มน้ำบีตรูด วันละ 1 แก้วในตอนเช้าทุกวัน

การทำน้ำบีตรูต ให้ใช้เครื่องแยกกากออกจากน้ำโดยไม่ผ่านกระแสไฟฟ้า จะทำให้น้ำบีตรูดที่ได้มีสาร

บริสุทธิ์ ไม่มีอิเล็คตรอนปะปอนอยู่ และที่สำคัญห้ามเอาน้ำบีตรูดไปผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆอีก เพราะจำทำให้คุณค่าทางอาหารที่ใช้เป็นตัวขับสารพิษสลายไป ไม่สามารถขับสารพิษได้

และเมื่อยกน้ำบีตรูตออกมาได้แล้วควรดื่มให้หมดภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที เพราะถ้ายิ่งปล่อยเวลานานออกไป คุณค่าของเอนไซม์ ที่มีอยู่ในน้ำบีตรูตก็จะเสื่อมสภาพลงได้เช่นเดียวกัน

บางคนเมื่อได้น้ำบีตรูตมาแล้วก็เอาไปแช่ในตู้เย็นอีกเป็นชั่วโมง เพื่อต้องการให้มันเย็น ซึ่งก็มีผลเหมือนดื่มน้ำเปล่า เพราะจะไม่มีคุณค่าของเอนไซม์ที่มีอยู่ในบีตรูตเลย ดังนั้นถ้าจะทำให้น้ำบีตรูตเย็น ก็ต้องนำหัวบีตรูตไปล้างน้ำให้สะอาดเสียก่อนแล้วค่อยแช่ตู้เย็น เมื่อคาดคะเนดูว่าหัวบีตรูตเย็นได้ที่แล้ว จึงนำมาวางเข้าเครื่องปั่นแยกกากก็ จะได้น้ำบีตรูตที่เย็นหอมชิ่นใจ มีคุณค่าของเอนไซม์ครบ

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อาหารเป็นยาจริงหรือ


อาหารที่คนป่วยควรรับประทานเพื่อช่วยให้แข็งแรงและระบบการทำงานของหัวใจที่ดีขึ้น ทั้งไขมันพืชและสัตว์ที่เข้าไปในวัยเด็ก ทำให้เส้นเลือดอุดตัน มีผลทำให้กระแสเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปตามร่างกายได้ตามปกติก็จะเกิดเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ดังนั้นอาหารที่คนป่วยควรรับประทาน ได้แก่ อาหารประเภทเนื้อ ปลาบางชนิด ผักและผลไม้ปลอดสารพิษในปริมาณที่พอเหมาะ

สิ่งที่ควรคำนึงถึงในเรื่องของการรับประทานอาหารคือ อาหาร ที่คนป่วยจะรับประทานเข้าไปนั้นจะต้องไม่เผ็ดร้อน ไม่เค็ม ไม่หวาน และไม่มันจนเกินไป พอให้รู้รสชาติอาหารเล็กน้อยก็พอ ยิ่งถ้าบุคคลนั้นป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ก็จำเป็นต้องลดประเภทรสเปรี้ยวไปเลย เพราะจะทำให้กัดกระเพาะให้กลายเป็นแผลมากขึ้น

อาหารที่ถือว่าเป็นยาได้ก็คือ อาหารที่ทำมาจากอินทรีย์วัตถุหรืออินทรีย์ธาตุที่ปราศจาก สารพิษ โลหะหนัก หรือสารเคมีต่างๆ ปะปนอยู่ ดังนั้นเราจึงเลือกรับประทานอาหารที่ปราศจากสารพิษต่างๆ แต่ใสสภาพปัจจุบันพบว่าสารพิษได้เป็นส่วนหนึงของอาหารไปแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดเราควรหาหนทางปลูกพืชและผลไม้ในที่ดินบริเวณบ้าน ด้วยปุ๋ยธรรมชาติที่จะทำให้พืชผักเหล่านั้นเจริญงอกงาม และควรป้องกันแมลงไม่ให้มาทำลายพืชด้วยการกางมุ้ง หรือใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติ เช่นตะไขร้หอม ต้นสะเดา และอื่นๆ มาหมักเพื่อใช้ขับไล่แมลงให้หนีหรือตายไป

พืชพักและผลไม้ที่เราซื้อมาจากท้องตลาดแน่นอนเกือบทั้งหมด จะต้องมีสารพิษปะปนมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่เราก็ควรเลือกซื้อผักผักและผลไม้เหล่านั้นให้ดูสดและใหม่จากไร่โดยตรง เพราะสะดวกต่อการเอาสารพิษออกจากผักและผลไม้ได้ง่าย

อาหารที่คนป่วยจะรับประทานให้เป็นยาก็ควรเลือกซื้อของใหม่และสด โดยดูที่สีของผัก ความเต่งตึงที่ผักและผลไม้เหล่านั้น ตลอดจนดูที่ความเขียวส ไม่มีแมลงหรือหนอนเจาะกินใบ ผักที่มาจากตลาดส่วนใหญ่เต็มไปด้วยสารพิษ แต่ถ้าจากฟาร์มที่ส่งตามซูเปอร์มาเกตส่วนใหญ่จะเป็นผักปลอดสารพิษ

อย่างไรก็ตาม เมื่อซื้อผักสดและผลไม้มาแล้วให้ดูที่ความสด และใหม่เป็นสำคัญ ต่อจากนั้นนำมาแช่ในน้ำด่างหรือน้ำยา Baking Soda เป็นเวลา 20 นาทีเพื่อขับสารพิษออกไป

แต่ถ้าเป็นพวกเนื้อสัตว์ก็ขอให้ดูว่ามีการเลี้ยงตามธรรมชาติ โดยให้อาหารตามธรรมชาติหรือไม่ แต่ในปัจจุบันพบว่าการให้อาหารสัตว์เหล่านั้น ส่วนใหญ่จะให้อาหารที่สังเคราะห์เคมีมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งสารเคมีจะเข้าไปตกค้างสะสมในเนื้อของสัตว์เหล่านั้น ทางที่ดีถ้าเป็นพวกเนื้อสัตว์ก็ควรนำไปต้มให้เดือด เป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที แล้วตักเอาเนื้อนั้นออกมา แล้วนำน้ำเดือดนั้นทิ้งไป ก็จะสามารถขจัดสารพิษออกไปได้บ้างแล้วให้ต้มต่ออีก 1 ครั้งเมื่อน้ำเดือดให้ต้มต่อไปอีก 10 นาทีแล้วค่อยเทน้ำทิ้งไป จากนั้นค่อยนำไปแกง ทอด หรือผัด อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมัน เพราะไขมันจะทำให้เสี่ยงต่อโรคอ้วน ไขมันอุดตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคไต ตามลำดับ

อาหารเป็นยา ผักบร็อกโคลี

ในคนปกติเมื่อรับประทานผักบร็อคโคลีดิบเข้าไป ก็จะไปช่วยสร้างเอนไซต์ไม่ให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นในร่างกายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งรังไข่และมะเร็งเต้านม ส่วนคนใดที่เป็นมะเร็งเมื่อรับประทานผักบร็อกโคลีดิบเข้าไป จะมีผลทำให้เซลล์เนื้อร้ายหายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ

วิธีทำน้ำบร็อกโคลี ให้น้ำเอาต้นบร็อคโคลีที่มีเปลือกแข็งๆ มาล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นเป็นท่อนๆ พอที่จะใส่เข้าไปในเครื่องปั่น แยกกากและน้ำออกจากกันได้โดยใช้แก้วน้ำที่สะอาดรองรับน้ำบร็อกโคลีตรงช่องทางน้ำออกจากเครื่อง เมื่อได้น้ำบร็อกโคลีประมาณ 25-30 มิลลิเมตรก็ให้ดื่มทันที ก่อนอาหารในตอนเช้า 1 ครั้ง และตอนเย็น 1 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน

อย่าลีมทำลายสารพิษตกค้างที่มีอยู่ในผักบร็อกโคลีออกก่อน ทุกครั้งด้วย Baking Soda และแช่ไว้ประมาณ 20 นาที ต่อจากนั้นให้ล้างด้วยน้ำสะอาดไหลผ่านอีก 5 นาที ก็เป็นอันใช้ได้


วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมคนเราถึงต้องดื่มน้ำ


ตามปกติน้ำที่อยู่ในร่างกายของคนเรา มีร้อยละ 70% ซึ่งจะมีส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ ไขมัน กระดูก เส้นเลือด พังผืด อวัยวะ

อื่นๆ ภายในร่างกายรวมแล้วมีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น

น้ำจะซึมผ่านไปทั่วอณูของร่างกาย โดยจะเข้าไปแทรกอยู่ในส่วนต่างๆ ของอวัยวะในร่างกาย ดังนั้นปริมาณของน้ำจะมีมากพอสมควรเมื่อเทียบกันน้ำหนัก

ตัวที่มีอยู่ในร่างกาย

คนที่มีสภาพปกติไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นในร่างกาย น้ำจะไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และจะถูกขับออกเป็นเหงื่อ และทางปัสวะ ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพปกติ ( Homeostasis ) เกิดความสมดุลได้

น้ำจะทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายไม่ให้หนาวเกินไป จะไม่ให้ร้อนเกินไป น้ำจะทำให้ร่ายกายเกิดความอบอุ่นและรู้สึกสบายตัว ซึ่งโดยปกติคนเราจะมีอุณหภูมิในร่างกายประมาณ 37 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ทำให้คนเราอยู่อย่างสบายๆ

แต่คนเราที่มีโรคหรือเป็นโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่ไม่มีเชื้อโรค อันได้แก่ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน มะเร็ง โรคไต เป็นต้น โรคนี้ส่วนหนึ่งร่างกายเกิดการเสื่อมสภาพเพราะเก็บสะสมสารพิษ หรือสารเคมีไว้นาน ทำให้ร่างกายไม่สามารถขจัด สารพิษออกจากร่างกายได้ กระบวนการเปลี่ยนแปลงเซลล์เนื้อเยื่อ จึงเกิดขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อในส่วนที่เก็บสะสมสารพิษถูกทำลาย เกิดการเสื่อมสภาพ และถ้าเป็นมากอย่างรุนแรงเซลล์เนื้อเยื่อเหล่านั้นเกิดการกลายพันธุ์โดย DNA

( Deoxyribo Nucleic Acid ) ถูกทำลายโดยการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมไป ก็จะเกิดเป็นเซลล์เนื้อร้าย คอยทำลายเซลล์เนื้อดีให้สูญสลายไปด้วย ที่เราเรียกกันว่ามะเร็งนั่นเอง

ดังนั้นคนที่เป็นโรคร่างกายจะเสื่อมสถาพ ต่อมต่างๆ ในร่างกายจะมีบางตัวหยุดการทำงานหรือว่าทำงานช้าลง จึงทำให้ผลิตฮอร์โมนออกมาน้อยเกินไป หรือไม่ผลิตฮอร์โมนออกมาเลยก็มี ประกอบกับร่างกายไม่ได้ออกกำลังกาย อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็จะมีผลต่อปริมาณของน้ำในร่างกายเกิดล้นท่วมเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ เพราะร่างกายไม่สามารถขับของเสียและทำให้ออกจากร่างกายนั่นเอง สภาพเช่นนี้ร่างกายจะขาดความสมดุลโดยทันที

ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดกับคนที่เป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต และเป็นกับคนที่มีอายุตั้งแต่วัยผู้ใหญ่จนถึงวัยกลางคน แตะจะพบกับบุคคลในวัยเด็กและในวัยหนุ่มสาวได้ในปริมาณน้อย

น้ำจะเป็นตัวทำปฏิกิริยาต่อร่างกายซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับระบบ เลือดแดง ( Red Blood Cell System ) เพื่อทำให้เกิดความดันขึ้นในร่างกาย ถ้าหากคนเรานั้นมีน้ำขังอยู่ในร่างกายมากเกินไป ก็จะเกิดปรากฏการณ์ ที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง โดยวัดค่าจากเครื่องมือวัดความดัน ออกมาเป็นมิลลิเมตรต่อปรอท ซึ่งปกติเราจะมีค่าความดันของตัวล่างและบนอยู่ที่มิลลิเมตรต่อปรอท

คนที่มีค่าความดันตัวล่างสูงกว่า 80 มิลลิเมตร ต่อปรอทขึ้นไปมากๆ จะมีผลต่อระบบเส้นเลือดฝอยในสมอง ทำให้เส้นเลือดฝอยในสมองแตกได้โดยง่าย เมื่อเส้นเลือดแตกภาพที่ปรากฏออกมาให้เห็นได้ก็คือ คนคนนั้นจะเป็นอัมภาตไปโดยปริยาย และถ้าเป็นมาก ก็จะล้มหัวฟาดพื้นอาจทำให้เสียชีวิตได้โดยง่าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องควบคุมความดันโลหิตในร่างกายไม่ให้สูงจนเกินไป

ประการที่ 1 คือการจำกัดเรื่องเครื่องดื่มที่จะเข้าไปไหลเวียนนำพาของเสียออกมาจากร่างกายให้น้อยลง เพราะคนไม่สบายก็ไม่คิดทำงานหนักอยู่แล้ว

ดังนั้นควรดื่มน้ำที่สะอาด 3-4 แก้วก็พอ

ประการที่ 2 คือไม่ควรให้เกิดความตึงเครียด ( Tesion or Stress ) ดังนั้นควรปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันลงบ้าง

ประการที่ 3 ควรลดความวิตกกังวล ( Anxiety ) ลงอย่าเกิดความกลัว อย่ากังวลว่าเราเป็นโรค ทำใจให้สบาย คิดว่าร่างกายก็เป็นอย่างนี้ได้ทุกคน หนทางบำบัดรักษาโรคย่อมมีทางหายและเอาชนะโรคได้ บางคนก็ถูกกับแพทย์แผนปัจจุบัน ถ้าไปกินตามแพทย์สั่งก็จะหายได้ แต่งบางคนถูกับแพทย์แผนไทย มากินยาสมุนไพรก็หายได้เช่นกัน ดังนั้นจงจำไว้ว่า ร่างกายของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังจะเห็นได้จากการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ยังออกแบบตัวโรงงานและเครื่องจักรไม่เหมือนกัน คนเราก็เหมือนกันเพราะอะไร ก็เพราะคนเรากินอาหารไม่เหมือนกันนั่นเอง บางคนชอบ รสเผ็ด หวาน มัน เปรี้ยว แตกต่างกัน ที่สำคัญ คนเราได้รับสารพิษไม่เหมือนกันนั่นเอง ถ้าบางคนได้รับสารพิษน้อย และยังมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงดีก็ไม่เป็นอะไร แต่บางคนได้รับสารพิษมากเกิน เก็บสะสมไว้นานจนล้นและภูมิต้านทานโรคอ่อนแอ เซลล์เม็ดเลือดขาวผลิดออกมาไม่ทันหรือน้อยเกินไป ก็จะทำให้ไม่สามารถขจัดสารพิษให้ออกจากร่างกายไปได้ก็เกิดกรดขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อชีวิตของเราในวันข้างหน้าที่จะต้องผจญภัยกับโรคภัยไขเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

น้ำที่เราดื่มเข้าไปควรเป็นน้ำที่สะอาด ปราศจากตะกอนขุ่นของสารแขวนลอยต่างๆ เพระจะมีผลกับการทำงานของไตโดยตรง น้ำที่ดีและมีคุณภาพจะต้องมีความเป็นกรดด่างในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่เป็นด่างมากเกินไปหรือเป็นกรดมากเกินไป ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายด้วยกันทั้งสิ้น ทางที่ดีควรทำให้น้ำบริสุทธิ์หรือมีค่าความเป็นด่างเป็นกรด อยู่ที่ 5-6 Ph ก็ถือว่าใช้ได้